วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประสบการณ์ ผู้ป่วย ไข้หวัด2009

E-mail จาก คุณ กิ๊บ ค่ะ
Subject: FW: ประสบการณ์ ผู้ป่วย ไข้หวัด2009

Date: Wed, 8 Jul 2009 14:17:19

อย่าเชื่อข้อมูลของ สธ. .. เรากับลูกก็ป่วย ตอนนี้ก็ยังอยู่ที่ รพ. ข้อมูลที่ Under Report มีอีกเยอะมาก อย่าง case ของเราก็under เหมือนกัน เรื่องของเรื่อง ลูกเรา (6 ขวบกว่า) ป่วยก่อน เมื่อ 2 วันก่อนเค้ามีอาการปวดหัวรุนแรงและไข้สูงมาก ให้ทานยาลดไข้ ไข้ก็ไม่ยอมลดลง เช็ดตัวก็แล้วทำอย่างไรๆ ไข้ก็ไม่ลดลง

เราเลยตัดสินใจพามา รพ. เมื่อพบหมอ เรายืนยันกับหมอว่าเราจะขอทำ Screen Flu (เป็นการ Screen หาความเสี่ยงเบื้องต้น) การทำ Screen Flu หมอจะทำให้เฉพาะผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อ เช่นคลุกคลีกับผู้ป่วยโดยตรง แต่ลูกเราไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ทุกคนที่บ้านแข็งแรงดี โรงเรียนก็รักษาสุขอานามัยอย่างดี เราไม่พาลูกไปในที่ชุมชนและไม่ให้ว่ายน้ำในสระมาเดือนกว่าแล้ว จึงไม่ควรจะติดเชื้อได้ แต่ถึงอย่างไรเราก็ยืนยันกับหมอว่าเราจะขอ Screen

ลืมบอกไปว่าลูกเรา (และเราด้วย) ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ (ธรรมดา) ไปเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมานี่เอง ดังนั้นโอกาสที่จะเป็นไข้หวัดใหญ่ธรรมดาคงจะไม่มีแน่ๆ และเมื่อผล Screen ออกมาในครั้งนั้นปรากฎว่าลูกเราเป็น Negative(หมายถึงไม่ติดเชื้อในกลุ่มของ H1N1) เราและหมอยังไม่นิ่งนอนใจ เราเลยขอหมอ Admit เพื่อความสบายใจ เนื่องจากลูกเราไข้สูงมาก (โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 39องศา)

คุณหมอให้เราพักที่โรงพยาบาลตามที่เรา Request และเมื่อถึงตอนเช้าคุณหมอมาเยี่ยมและขอนำเชื้อไปทำ Screen Fluอีกเป็นครั้งที่ 2 เรายินดีตามที่หมอเสนอ เพราะหมอให้ความเห็นว่า เมื่อการตรวจครั้งแรกนั้น ระยะห่างระหว่างการจับไข้กับการตรวจห่างกันแค่ 4 ชั่วโมง อาจจะยังไม่ปรากฎการติดเชื้อให้เห็นชัด แต่ถ้าไข้ยังสูงขนาดนี้ขอตรวจอีกครั้งเพื่อความชัวร์ดีกว่า

เมื่อผลตรวจออกมา ลูกเรา Positive จริงๆ และหมอถามเราว่าต้องการส่งตรวจหา 2009 ต่อหรือเปล่า แต่เราปฏิเสธเพราะทั้งหมอและเรารู้อยู่แล้วว่าลูกเราติดเชื้อแน่ๆ (เค้าไม่มีทางเป็นไข้หวัดใหญ่ธรรมดา เพราะเพิ่งฉีดวัคซีนไป และข้อบ่งชี้ค่อนข้างเด่นชัด)

อ้อ .. ลืมบอกไปอีกว่าถ้าผล Screen Flu ออกมาเป็น Positive จะมีความหมายว่า มีโอกาสติดเชื้อด้วยกัน 3 ตัวคือ H1N1 ไข้หวัดใหญ่ธรรมดา, H1N1 ไข้หวัดใหญ่ 2009, และตัวสุดท้ายคือ H2N3 ซึ่งคนไทยไม่ค่อยเป็น ซึ่งถ้าติดเชื้อตัวใดตัวหนึ่งใน 3 ตัวนี้วิธีรักษาจะเหมือนกันทั้ง 3 ตัว

ดังนั้นถ้าผลการตรวจออกมาเป็น Positive หมอจะถามว่าต้องการให้ส่งตรวจ Final เพื่อดูว่าเป็นไข้หวัด 2009 หรือไม่ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกประมาณ 2,500 บาท แต่หมอก็จะบอกว่าแต่อย่างไรก็ตามวิธีการ treat ก็เหมือนกันกับไข้หวัดใหญ่ตัวอื่นๆ อยู่แล้ว และเมื่อเราไม่ส่งตรวจเพื่อ Final ข้อมูลของลูกเราก็จะไม่ถูกส่งไปที่ สธ. และอยากจะบอกว่า

วันที่ลูกเรามา รพ. นั้น เชื้อได้เข้าไปถึงหูชั้นในและโพรงจมูกแล้ว ซึ่งระยะเวลาจับไข้กับการพบหมอห่างกันเพียง 4 ชั่วโมง

ซึ่งอยากจะเตือนทุกท่านว่าเชื้อตัวนี้แรงและแพร่เร็วมาก อย่านิ่งนอนใจถ้าท่านหรือบุตรหลานของท่านมีไข้สูง ปวดศรีษะมาก ขอหมอตรวจเพื่อให้ละเอียดเลยดีกว่าค่ะ หลังจากเรามาเฝ้าลูกเพียงแค่วันเดียว ปรากฎว่าเราเริ่มมีอาการปวดเมื่อยตามตัวและเป็นไข้ ไอไม่หยุด เราจึงรีบไปตรวจปรากฎว่าเราก็ติดเชื้อเหมือนลูกแต่ที่น่ากลัวคือ เราเป็นไข้แค่ 3 ชั่วโมงแต่เมื่อไปตรวจ ปอดของเราเริ่มมีอาการติดเชื้อแล้ว ถ้าทิ้งไว้นานกว่านี้อาจจะเป็นปอดอักเสบ หรือโรคแทรกซ้อนอย่างอื่นๆ ได้ วันนี้เป็นวันที่ 3 ที่เราอยู่ รพ. อาการของลูกดีขึ้นมาก และจะกลับบ้านวันนี้แล้ว ส่วนเรายังอ่อนเพลียอยู่ ยังมีอาการปวดตามตัวอยู่บ้าง แต่ดีขึ้นจากเมื่อวานเยอะมาก และคงจะขอหมอกลับบ้านพร้อมลูกเลย

อยากเตือนว่า ไข้หวัด 2009 ติดง่าย ป่วยไว ลุกลามไว ติดเชื้อไว แต่รักษาง่าย หายไว ถ้ารีบรักษาภายใน 48 ชั่วโมง ดังนั้นถ้าท่านหรือคนใกล้ชิดท่านป่วยมีไข้ ปวดศรีษะ ปวดตามตัวและไอ อย่านิ่งนอนใจ รีบตรวจโดยด่วนเลยค่ะ ด้วยความปรารถนาดีค่ะเพิ่งหายจากไข้หวัด 2009

10 วิธี สุขฟรี - ปัจจุบันขณะที่คุณสุขเป็น ตามแนวท่าน ดิช นัท ฮันส์ - หมู่บ้านพลัม

1. วันว่างลองให้วันทั้งวันอยู่กับการว่าง ไม่มีนัด ไม่ไปธุระที่ไหนไม่กำหนดตารางอะไรให้ชีวิต จะทำกิจวัตรอะไรก็ให้เป็นแบบช้าๆ สบายๆไม่รีบเร่ง อยู่กับแต่ละกิจกรรมอย่างเต็มร้อยให้ใจได้พักผ่อนอย่างแท้จริงกับการดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ วันว่างๆจะช่วยเติมเต็มพลังกายและใจให้แก่เรา แถมยังช่วยลดใช้พลังงานโลกด้วยวันนั้นอาจจะยอมให้ตัวเองนอนตื่นสายกว่าปกติสักนิดอาบน้ำแบบมอบความทะนุถนอมให้กับร่างกายเบิกบานกับอาหารเช้าที่ดีกับสุขภาพ เปิดประตู เปิดหน้าต่างรับลมธรรมชาติเดินสำรวจละแวกบ้านถ้าจะหยิบหนังสือที่ซื้อไว้ตั้งนานแต่ยังไม่ได้อ่านสักทีมาอ่านก็ไม่ผิดกฎอะไรตกค่ำจะลองทานมื้อเย็นใต้แสงเทียนให้หลอดไฟกับมิเตอร์ได้พักผ่อนก็ให้ความรู้สึกพิเศษดีเช่นกัน

2 . หายใจเล่นสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับการอยู่เงียบๆคนเดียว ติดทีวี ติดโทรศัพท์อาจลองหาเวลาตีสนิทกับเพื่อนใกล้ตัวของเราทั้งสอง คือ คุณลมหายใจเข้าและคุณลมหายใจออก ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง เดิน นอน หรือ เคลื่อนไหวเราจะตระหนักรู้ถึงเพื่อนสองคนนี้อยู่เสมอ หมั่นเช็คอยู่เรื่อยๆว่าเพื่อนทั้งสองคนของเรามีสภาพอย่างไร ยังสบายดีอยู่หรือเปล่าเมื่อเราดูแลลมหายใจ ลมหายใจก็จะดูแลเรา การดุแลกันและกันเช่นนี้จะส่งผลดีต่อทางร่างกายและจิตใจความสงบที่เกิดจากภายในจะส่งผลที่น่าประทับใจถึงภายนอกในเวลาที่เราต้องเผชิญกับเรื่องยากๆ ต้องคิด ตัดสินใจและทำอะไรอยู่ตลอดเวลา การได้พักสัก 15 นาทีหรือสักชั่วโมงจะช่วยให้หัวที่เคยหมุนจนร้อน ใจที่เต้นรัวเร็วร่างกายที่เครียดตึงค่อยๆ ผ่อนคลายและเบาลงอย่างไม่น่าเชื่อ

3. ชื่นชมธรรมชาติ ไม่ต้องรอให้ถึงวันพักร้อน แค่ตื่นเช้าขึ้นสักนิดดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ให้แสงแรกของพระอาทิตย์ล้างตาให้สะอาด ช่วงสายๆอาจจะมองท้องฟ้าสัก 5-10 นาที ดูเมฆที่ค่อยๆเปลี่ยนรูปก็เติมความสดชื่นได้ดีบ่ายคล้อยเดินเล่นให้สายลมเย็นปะทะหน้าเบาๆสูดเอากลิ่นหอมของดอกไม้ใบหญ้า ได้เวลาพลบค่ำปิดไฟให้หมดจะได้เห็นดาวและเดือนที่ลอยเกลื่อนฟ้าได้ชัดขึ้นให้เวลาธรรมชาติได้บำบัดเราทั้งกายและจิตใจ

4. สลายไขมัน

สำหรับคนบ้าพลัง คนกลัวอ้วน คนไม่ชอบออกกำลังกายการออกกำลังกายให้ได้เหงื่อจะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้นหรืออาจว่ายน้ำในความเงียบ ซึ่งนั้นหมายถึงรวมไปถึงเสียงในหัวเราด้วยลองว่ายไปเรื่อยๆ ตระหนักรู้การเคลื่อนไหวของร่างกายเราเสียงในหัวเราจะค่อยๆ เงียบลงเอง หรืออาจจะลองปั่นจักรยานรับลมสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ ในหมู่บ้าน หรืออะไรก็ได้ที่เราชอบนอกจากจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข (เอ็นโดฟิน)แล้วยังช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีอีกด้วย

5. ศิลปินสมัครเล่นหยิบดินสอหรือสี ขึ้นมาวาดรูปแบบไม่ห่วงสวย ปลดปล่อยจินตนาการให้ความเป็นเด็กในตัวออกมามีชีวิตผ่านงานศิลปะหรือประดิษฐ์งานฝีมืออะไรสักอย่างที่ทำให้เราได้มีพื้นที่และอิสนระจากความคิด ความยึดติด ทั้งนี้พบว่าการถักนิตติ้งช่วยสงบใจได้เป็นอย่างดี แถมยังเสริมสร้างสมาธืบำบัดความเบื่อหน่าย ความเครียด และแรงกดดันจากการทำงานทั้งยังได้ผลงานเป็นของขวัญให้คนรอบข้างอีกด้วย เรียกว่า บำบัดใจผู้ให้สุขใจผู้รับ

6. สุขใจกับงานบ้าน การได้ลงมือ ปัดกวาดเช็ดถู จัดข้าวของในบ้านให้เป็นระเบียบ ทำสวนปลูกต้นไม้ ตัดแต่งใบเสีย ล้วนเป็นโอกาส ให้เราได้กลับมาปัดกวาดเช็ดถูจัดระเบียบ และรดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งความสุข ให้ใจเราได้เติบโต งอกงามสะอาด และใหม่สดอยู่เสมอ "บ้านสะอาดสดใส ใจก็งดงาม"

7. สนทนาใจใช้เวลากับเพื่อนแลกเปลี่ยนสุขทุกข์ของกันและกันช่วยฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง และทำให้ตระหนักรู้ว่าเรามีคนอยู่เคียงข้างเสมอ หาวันว่างยามบ่าย บรรยากาศสบายๆที่บ้านใครสักคนนั่งพุดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาในวิถีแห่งสติอาจเป็นความตื่นเต้นจากความรับผิดชอบใหม่ๆหรือมองเห็นความสดใหม่ในงานเก่าหรือจะเป็นผู้คนที่เราพบเจอได้เรียนรู้ความสุขที่เรามี หรือแม้แต่ความเหนื่อยล้า เรื่องอกหัก ความทุกข์ใจความยากลำบากในครอบครัวที่ต้องเผชิญอื่นๆอีกมากมายที่เราพร้อมเปิดใจแบ่งปันต่อกันการได้ใช้เวลาอยู่ตรงนี้ด้วยกันอย่างเต็มเปี่ยมถือเป็นการบำรุงหล่อเลี้ยงซึ่งกันและกันแบบไม่ต้องใช้สตางค์

8. กลับบ้านแล้วใช้เวลาเพื่อพูดคุย ทำความรู้จัก เรียนรู้กันและกันให้มากขึ้นลองเริ่มจากการบอกกล่าวความรู้สึกภายในกับคนในบ้านไม่ว่าจะเป็นการกล่าวขอโทษสิ่งที่เราอาจจะพลาดพลั้งไปจนทำให้อีกฝ่ายเสียใจหรือกล่าวขอบคุณในความน่ารัก ความดีที่อีกฝ่ายได้ทำให้แก่เราหรือเลือกกิจกรรมที่ชอบด้วยกันที่บ้าน เช่น ดื่มน้ำชา กินขนมทำอาหารด้วยกัน นอนดูหนังเรื่องโปรด อ่านหนังสือ ผลัดกันเล่านิทานเล่นเกม ออกกำลังกาย ร้องเพลง เล่นดนตรีปิดท้ายด้วยการกอดสมาธิก็อบอุ่นดีไม่น้อย

9 แบ่งปันด้วยใจแบ่งปันเวลาทำประโยชน์เพื่อคนอื่นและสังคม บางคนอาจเริ่มต้นง่ายๆจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น โปรยอาหารให้นกตัวน้อยๆ ในสวนที่บ้านเดินเก็บขยะแถวบ้าน รื้อข้าวของที่ไม่ใช้แล้วหรือไม่ค่อยได้ใช้(แถมได้ฝึกการตัดใจด้วย) มาทำความสะอาดแล้วนำไปบริจาคหาเจ้าของที่คู่ควรคนใหม่ หรือจะเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาต่างๆก็มีให้เลือกมากมาย ลองเข้าไปดูที่เว็บไซต์http://www.volunteerspirit.org/

10 ยิ้ม
ยิ้ม ให้กับตัวเองยิ้มแบบใสๆ ยิ้มให้กว้างๆ จนเผื่อแผ่ไปยังคนรอบข้าง แล้วจะพบว่าความสุขใจที่ไม่ต้องใช้สตางค์แบบนี้นั้นแสนวิเศษ
ยิ่งให้ก็ยิ่งได้
ที่มา : วารสาร พลัม ฉบับที่6 กรกฎาคม-กันยายน 2552
*******